ประเพณีลากพระถือเป็นประเพณีที่ สืบทอดเจตนาความเชื่อในทางพระพุทธศาสนา โดยผู้คนชาวใต้ในอดีตได้นำเอาพุทธประวัติตอนเทโวโรหนปริวัตต์ มาเป็นบริบททางความเชื่อ เพื่อก่อให้เกิดกิจกรรมทางศาสนา ประเพณีลากพระจึงได้เกิดขึ้นในสังคมพุทธเกษตรดั้งเดิมในภาคใต้ ทั้งนี้ช่วงเวลาของการประกอบประเพณีดังกล่าวสอดคล้องกับสภาพของสังคมเกษตรกรรม อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาอยู่กับผืนนาไถหว่านปักดำ แล้วเสร็จพอดี และเป็นระยะเวลาที่สอดคล้องกับฤดูออกพรรษา ในทางพระพุทธศาสนาที่มีเรื่องราว ตามที่ชาวบ้านศรัทธาในพุทธประวัติตอนเทโวโรหนะ ซึ่งมีความว่า
พระพุทธองค์ได้เสด็จไปจำพรรษาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพื่อตรัสเทศนาพระสัตตปกรณาภิธรรมปิฎก ภายในไตรมาส
เพื่อกระทำปัจจุปการสนองพระคุณพระพุทธมารดา ครั้งถึงเดือน 11
ตรงกับแรม 1 ค่ำ
พระพุทธองค์จึงได้เสด็จลงสู่มนุษย์โลก โดยท้าวโกสีย์ได้นฤมิตบันไดทิพย์ทั้ง 3
ลงมาจากเทวโลก คือบันไดทอง อยู่ ณ เบื้องขวา บันไดเงินอยู่ ณ
เบื้องซ้าย บันไดแก้ว ประดิษฐานอยู่ท่ามกลาง
อันบันใดทองข้างขวานั้นเป็นที่ลงแห่งหมู่พรหมทั้งหลาย
บันไดเงินข้างซ้ายนั้นเป็นที่ลงแห่งหมู่เทพยดาทั้งหลาย
บันไดแก้วในทามกลางนั้นเป็นทางเสด็จสมเด็จพระสัพพัญญู
ชาวบ้านจึงได้หยิบยกเอาความพุทธประวัติดังกล่าวมาเป็นสาระในการประกอบกิจกรรมทางศาสนา
โดยถือเอาว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พุทธศาสนิกชนจะต้องไปเฝ้ารับ
เสด็จแห่งหนต้องรับกิจกรรมการลากพระจึงได้จำลองเอาพระราชรถมารับเสด็จและอัญเชิญพระพุทธองค์ประทับในบุษบก
แล้วพุทธศาสนิกชนได้เฝ้าแหนรับเสด็จด้วยการลากพระราชรถนั้น
(หรือบางแห่งสถานที่เหมาะกับการลากพระทางน้ำ หรือบางแห่งเหมาะลากไปทางบก
ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของชุมชนนั้นๆว่าเหมาะกับการลากพระประเภทใด)ส่วนพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาประดิษฐานในบุษบกนั้นจะต้องเป็นพระพุทธรูปปางเสด็จจากดาวดึงส์
หรือปางเปิดโลก เพื่อให้ต้องตามความในพระพุทธประวัติ
และร่วมกันลากพระราชรถออกจากวัด ออกไปตามถนนหนทางในหมู่บ้าน
และจะไปรวม
ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งที่เป็นจุดรวมกันระหว่างหมู่บ้าน
การชักลากจะใช้เชือกป่านมนิลาขนาดใหญ่ หรือหวายเส้นใหญ่ผูกกับพระราชรถ
ทั้งสองด้านปล่อยปลายเชือกอีกด้านหนึ่งไว้สำหรับจับเพื่อชักลากยาวประมาณ 10
- 20 เมตร โดยให้โพนเป็นเครื่องตีให้สัญญาณ